เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ เกี่ยวกับรายวิชาเครื่องสายไทย 1 การฝึกหัดซอด้วงและซออู้เบื้องต้น

วันพฤหัสบดี

ระบบเสียงซออู้



สนใจข้อมูลเพิ่มเติม : sk2511@chaiyo.com

ระบบเสียงซอด้วง



ส่วนประกอบซออู้

2. ส่วนประกอบของซออู้
ส่วนประกอบของซออู้ สัดส่วนของซออู้นั้นจะเอาแน่นอนเหมือนซอด้วงไม่ได้ ทั้งนี้เพราะเราไม่สามารถบังคับต้นมะพร้าวให้ออกลูกเท่าๆ กันทุกลูกได้ ด้วยเหตุนี้ซออู้จึงมีกะโหลกเล็กบ้างใหญ่บ้างไม่เท่ากัน เมื่อเป็นเช่นนี้คันซอหรือทวน จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตามขนาดของกะโหลกซอด้วย
1) คันซอ หรือคันทวน คันทวน มี 3 ช่วง คือ ทวนบน ทวนกลาง หรือ อก และทวนล่าง คันทวนยาวประมาณ 60 เซนติเมตร คันทวนมีลักษณะกลึงกลมเกลี้ยงค่อย ๆ ใหญ่จากโคนลงมาหาปลาย ส่วนของคันซอจากเหนือรัดอกขึ้นไปถึงยอดข้างบนเรียกว่า “ทวนบน” ทวนบนนี้กลึงกลมต่อจากทวนล่างโดยค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นไปตอนปลายทีละน้อยเพื่อให้ดูสวยงามรับกับคันทวนที่ค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นดังกล่าวแล้ว ตรงช่วงเหนือกะโหลกขึ้นไปประมาณ 20 เซนติเมตร เรียกว่า “ทวนล่าง” ส่วน “ทวนกลาง” นั้น ยาวประมาณ 12 เซนติเมตร อยู่ระหว่างทวนบนและทวนล่าง
2) ลูกแก้ว อยู่ระหว่างปลายสุดหรือยอดทวนลงมาประมาณ 10.5 เซนติเมตรโดยการกลึง ตัวทวนเป็นลูกแก้วคั่นไว้ลูกหนึ่ง ต่อจากนั้นลงมาอีก 8.5 เซนติเมตร กลึงอีกลูก 1 ลูก และอีก 8.5 เซนติเมตร กลึงอีก 1 ลูก รวมแล้วลูกแก้วค้างอยู่บนทวนบน 3 ลูก
3) ลูกบิด ลูกบิดนี้จะอยู่ระหว่างลูกแก้วลูกที่ 1 และลูกแก้วลูกที่ 2 และบนลูกแก้วลูกที่ 3 จะเจาะรูไว้ช่วงละ 1 รู สำหรับลูกบิดสอดเข้าไป ลูกบิดนี้มีไว้เพื่อใช้ในการพันสายซอและบิดสายเอกและสายทุ้ม ลูกบิดอันล่างสำหรับสายเอก ลูกบิดอันบนสำหรับสายทุ้ม ลูกบิดทั้งสองอันมีลักษณะเท่ากันและเหมือนกัน
4) รัดอก อยู่ตรงทวนกลาง รัดอกจะรัดสายซอทั้งสองเข้ากับคันซอ วัสดุที่ใช้ทำรัดอกควรใช้สายเอกซอด้วง ความกว้างของรัดอกที่เหมาะสม คือประมาณ 0.5 เซนติเมตร ระยะของรัดอกระหว่างคันทวนถึงสายซอประมาณ 2.5 เซนติเมตร ขอบบนของรัดอกซอ อยู่ต่ำกว่าลูกแก้วใต้ลูกบิดสายเอกประมาณ 0.6 เซนติเมตร
5) กะโหลกซอ เป็นเหมือนกล่องเสียงของซออู้ กะโหลกซอทำด้วยกะลามะพร้าว หน้ากะโหลกลึกประมาณ 11.5 เซนติเมตร กว้างและยาวประมาณ 14 เซนติเมตร ท้ายกะโหลกซอนี้จะแกะสลัก เพื่อเป็นช่องสำหรับให้เสียงออก และมักแกะสลักฉลุเป็นลวดลายต่าง ๆ โดยมากจะเป็นรูปร่างหนุมาน พระรามแผลงศร หรืออาจเป็นรูปอื่น ๆ ตามความต้องการและฝีมือของช่างแกะสลักที่จะตกแต่งให้เกิดความสวยงาม
6) หนังหน้าซอ กะโหลกซออู้จะขึ้นหน้าด้วยหนังวัวหรือหนังแพะ ถ้าเป็นกะโหลกที่ดีจริง ๆ แล้ว มักจะขึ้นด้วยหนังสดเอาโขลกกับน้ำพริกแกงจนนิ่ม เรียกว่า “หนังแกง” หนังแกงนี้ ทำให้ได้เสียงนุ่มนวล น่าฟัง ส่วนกะโหลกทั่ว ๆ ไปมักจะขึ้นหนังหน้าซอด้วยหนังฟอกทั่ว ๆ ไป
7) หมอนหรือหย่อง ทำด้วยผ้าพันกันจนกลมหรือทำด้วยกระดาษม้วน ๆ มีลักษณะกลมคล้ายหมอน เส้นผ่าศูนย์กลางของหมอนประมาณ 1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร หมอนซอนี้จะวางไว้ในตำแหน่งตรงกึ่งกลางหน้าซอ โดยให้สายซอพาดอยู่ข้างบนและตั้งฉากกับแนวยาวของหมอน ไม่ให้สายแนบติดกับหน้าซอในเวลาสีซอ
8) ก้านคันชัก หรือบางทีเรียกว่า “คันสี” ทำด้วยไม้เนื้อแข็งชนิดเดียวกับคันทวน มีลักษณะกลึงกลมให้เป็นคันคล้าย ๆ คันศร ความยาวประมาณ 74 เซนติเมตร ก้านคันชักนี้ต้องมีหางม้าขึงตึงประกอบด้วย
9) หางม้า ที่เรียกว่า “หางม้า” ก็เพราะนำเอาหางม้าจริงๆ มาใช้ทำคันชักซอ แต่ในปัจจุบันหางม้าจริงๆ มีราคาแพง จึงหันมาใช้ไนล่อนแทนหางม้า ไนล่อนนี้ทำขึ้นเป็นเส้นละเอียดเหมือนหางม้า แต่ไม่มีปุ่มเล็กๆ เหมือนหางม้าจริงๆ จึงทำให้ลื่น ฉะนั้นจึงต้องใช้ยางสนถูไปมาที่ไนล่อนเพื่อให้เกิดความฝืดเวลาสีซอจะทำให้เกิดเสียงดัง จำนวนเส้นของหางม้าหรือไนล่อนนี้ ไม่น้อยกว่า 250 เส้น
10) หมุดยึดหางม้า เป็นหมุดที่ใช้ยึดตรึงหางม้าไว้กับก้านคันชักให้ตึง นิยมด้วยไม้ โลหะและงาช้าง
11) สายซอ ทำด้วยไหมฟั่นเป็นเกลียว มี 2 สาย สายทุ้ม (สายใหญ่) สายเอก (สายเล็ก) ทั้งสองสายนี้พาดอยู่บนหมอน ระยะห่างระหว่างสายห่างกันประมาณ 0.7 เซนติเมตร
หากจำเป็นต้องใช้สายเอ็นให้ใช้เบอร์ 90 แทนสายเอก และเบอร์ 110 แทนสายทุ้ม

ส่วนประกอบซอด้วง

1. ส่วนประกอบของซอด้วง
1) โขน ส่วนที่อยู่บนสุดของทวนบน
2) ทวนบน คือ ส่วนบนของคันทวนตั้งแต่กลีบบัวขึ้นไปจนสุด
3) คันซอ คันทวน คือ คันชักที่กลึงกลมตั้งแต่ใต้บัวลงมาถึงกระบอกซอ ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้ชิงชัน ไม้ประดู่ ไม้มะเกลือ เป็นต้น
4) ลูกบิด ส่วนที่เป็นแกนไม้เสียบในแนวขวางของคันซอเพื่อใช้พันสายซอและบิดสายปรับเสียง
5) รัดอก อยู่ตรงกลาง รัดอกจะรัดสายซอทั้งสองเข้ากับคันซอ วัสดุที่ใช้ทำรัดอกควรใช้สายเอกซอด้วง ความกว้างของรัดอกที่เหมาะสม คือประมาณ 0.5 ซ.ม. ระยะของรัดอกระหว่างคันทวนถึงสายซอประมาณ 2 ซ.ม. ขอบบนของรัดอกซอ อยู่ห่างจากบัวประมาณ 5 เซนติเมตร
6) กระบอกซอ คือส่วนที่เป็นกล่องเสียง กลึงให้กลม ข้างในคว้านให้กลวง ทำด้วยไม้เนื้อเข็งเช่นเดียวกับคันทวน หน้าซอ ทำจากหนังงูเหลือมขึงหน้ากระบอกซอ ก้านคันชัก หรือบางทีเรียกว่า “คันสี” ทำด้วยไม้เนื้อแข็งชนิดเดียวกับคันทวน มีลักษณะกลึงกลมให้เป็นคันคล้าย ๆ คันศร ความยาวประมาณ 74 เซนติเมตร ก้านคันชักนี้ต้องมีหางม้าขึงตึงประกอบด้วย
7) หางม้า ที่เรียกว่า “หางม้า” ก็เพราะนำเอาหางม้าจริงๆ มาใช้ทำคันชักซอ แต่ในปัจจุบันหางม้าจริงๆ มีราคาแพง จึงหันมาใช้ไนล่อนแทนหางม้า ไนล่อนนี้ทำขึ้นเป็นเส้นละเอียดเหมือนหางม้า แต่ไม่มีปุ่มเล็กๆ เหมือนหางม้าจริงๆ จึงทำให้ลื่น ฉะนั้นจึงต้องใช้ยางสนถูไปมาที่ไนล่อนเพื่อให้เกิดความฝืดเวลาสีซอจะทำให้เกิดเสียงดัง จำนวนเส้นของหางม้าหรือไนล่อนนี้ ไม่น้อยกว่า 250 เส้น
8) หมุดยึดหางม้า เป็นหมุดที่ใช้ยึดตรึงหางม้าไว้กับก้านคันชักให้ตึง นิยมทำด้วยไม้ โลหะและงาช้าง
9) สายซอ ทำด้วยไหมฟั่นเป็นเกลียว มี 2 สาย สายทุ้ม (สายใหญ่) สายเอก (สายเล็ก) ทั้งสองสายนี้พาดอยู่บนหมอน ระยะห่างระหว่างสายห่างกันประมาณ 0.5 ซ.ม.
หากจำเป็นต้องใช้สายเอ็นให้ใช้เบอร์ 70 แทนสายเอก และเบอร์ 90 แทนสายทุ้ม
คันซอหรือคันทวน คือ คันส่วนที่กลึงกลมตั้งแต่ใต้กลีบบัวลงมาถึงกะโหลกซอ ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้ประดู่ ไม้ชิงชัน ฯ
10) หน้าซอ คือ ส่วนที่ขึงตึงกับกระบอกซอ ทำหน้าที่ถ่ายทอดความสั่นสะเทือนทำให้เกิดเสียง นิยมทำด้วยหนังงูเหลือม
11) ก้านคันชัก หรือบางทีเรียกว่า “คันสี” ทำด้วยไม้เนื้อแข็งชนิดเดียวกับคันทวน มีลักษณะกลึงกลมให้เป็นคันคล้าย ๆ คันศร ความยาวประมาณ 74 เซนติเมตร ก้านคันชักนี้ต้องมีหางม้าขึงตึงประกอบด้วย
12) หย่อง คือ ไม้เล็กๆ ที่รองรับสายซอทั้งสองสาย วางอยู่บนหน้าซอ มีหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดความสั่นสะเทือนจากสายสู่หน้าซอ

วันพุธ

ประวัติความเป็นมาของซออู้

ประวัติที่มาของซอด้วงและซออู้
จากหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดนตรีในสมัยกรุงศรีอยุธยา ปรากฏข้อความในกฎมณเฑียรบาล ซึ่งตราไว้ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.1991 - 2031) ในกฎมณเฑียรบาลตอนที่ 15 และ 20 อันเป็นบทบัญญัติกำหนดโทษแก่ผู้ที่เล่นดนตรีเพลิดเพลินเกินขอบเขตเข้าไปถึงพระราชฐานขณะล่องเรือผ่านนั้น ปรากฏมีชื่อเครื่องดนตรีระบุไว้ ได้แก่ ขลุ่ย ปี่ ซอ จะเข้ กระจับปี่ โทน ทับ
ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ ได้บันทึกไว้ว่า “ขบวนเรือยาวที่แห่มารับตัวท่านและคณะว่ามีเสียงเห่ เสียงโห่และเสียงดนตรีประเภทกระจับปี่สีซอดังกึกก้องไพเราะไปทั่วคุ้งน้ำ...”
จะเห็นได้ว่า ในกฎมณเฑียรบาลและในจดหมายเหตุลาลูแบร์ ได้มีการกล่าวถึง “ซอ” ไว้อย่างชัดเจน แต่เสียดายที่ไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าเป็นซออะไร

2. ประวัติที่มาของซออู้
ซออู้ เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสี มี 2 สาย มีเสียงทุ้มต่ำ ตัวกะโหลกซอทำด้วยกะลามะพร้าว แต่ใช้กะลามะพร้าวพันธุ์ซอ ขนาดกะโหลกใหญ่เป็นพู มีการแกะสลักกะโหลกให้มีลวดลายวิจิตรบรรจงสวยงาม มะพร้าวพันธุ์ซอนี้ส่วนมากปลูกในอำเภอบางคนทีและอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
ซออู้ของไทยมีรูปร่างคล้ายซอชนิดหนึ่งของจีน ที่มีชื่อว่า “ฮู-ฮู้” (Hu-hu) มี 2 สายเหมือนกันแต่ ฮู-ฮู้ มีนมรับสายก่อนจะถึงลูกบิด และลูกบิดอยู่ทางด้านขวามือของผู้เล่น ตรงลูกบิดที่จะสอดเข้าไปในทวนนั้นขุดทวนให้เป็นรางยาวและเอาสายผูกไว้กับก้านลูกบิดในร่องหรือรางนั้น และบางทีซออู้ของไทยอาจเอาแบบอย่างมาจากจีน แต่ในอีกแนวคิดหนึ่งซออู้นั้นอาจเป็นซอที่ประดิษฐ์ขึ้นก่อนซอของจีนและเป็นซอของไทยแท้ ๆ ที่ไม่ได้เลียนแบบมาจากประเทศอื่น เหตุผลเพราะว่าสมัยก่อนมีกลุ่มชนชาวไทยซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน ได้อพยพลงมาและชนกลุ่มนี้มีความเจริญทางด้านศิลปะการดนตรี จึงได้คิดประดิษฐ์สร้างดนตรีขึ้นบรรเลง เพื่อความสนุกสนานและเพื่อผ่อนคลายความเครียด จากสาเหตุดังกล่าว จากที่เราเคยอาศัยอยู่ในประเทศจีนจึงเป็นเหตุให้เชื่อว่าเราอาจเลียนแบบมาจากจีน แต่แท้ที่จริงแล้วคนไทยในประเทศจีนเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นเองไม่ได้ลอกเลียนแบบมาจากใคร
“ซออู้เป็นซอประเภทเครื่องสี มี 2 สายเช่นเดียวกับซอด้วง วิธีการบรรเลงโดยทั่วไปก็เป็นแบบเดียวกับซอด้วง คือ ท่านั่ง ท่าจับซอ ท่าจับคันชัก การใช้นิ้ว การไกวคันชัก คันชักออก คันชักเข้า คันชักสะบัด คันชักหนึ่ง สอง สี่ แปด ฯลฯ เป็นแบบเดียวกับซอด้วงทั้งสิ้น แต่ต้องนำมาเขียนแยกออกจากกันก็เพราะ ถึงวิธีการโดยทั่วไปจะละม้ายคล้ายคลึงกันก็ตาม แต่หลักการโดยเฉพาะของมันย่อมแตกต่างกันไม่ใช่น้อย ทั้งนี้เพราะซออู้เป็นซอเสียงทุ้ม มีหน้าที่บรรเลงขัด ล้อ ต่อ เหลื่อม ล่อ หลอก หน่วง ล้ำหน้า ฯลฯ คลุกเคล้าไปกับซอด้วง พูดง่าย ๆ ก็ว่าซอด้วงเป็นซอยืนหรือเป็นพระเอกประจำวง แต่ซออู้นี้เท่ากับเป็นตัวตลกคลุกคลีไปกับซอด้วงทำให้การบรรเลงสนุกสนานน่าฟัง” (ศจ.ดร.อุทิศ นาคสวัสดิ์, 2525 : 1)
แต่อย่างไรก็ตามเท่าที่มีหลักฐานพอจะทราบได้ว่า “ซออู้” เข้าร่วมประสมวงดนตรีในวงเครื่องสายและวงมโหรี เมื่อราวสมัยกรุงรัตนโกสินทร์และต่อมาในระยะหลังนี้ได้นำเข้าบรรเลงในวงปี่พาทย์ไม้นวม วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ และนิยมนำมาบรรเลงเดี่ยว

ประวัติความเป็นมาของซอด้วง







ประวัติที่มาของซอด้วงและซออู้
จากหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดนตรีในสมัยกรุงศรีอยุธยา ปรากฏข้อความในกฎมณเฑียรบาล ซึ่งตราไว้ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.1991 - 2031) ในกฎมณเฑียรบาลตอนที่ 15 และ 20 อันเป็นบทบัญญัติกำหนดโทษแก่ผู้ที่เล่นดนตรีเพลิดเพลินเกินขอบเขตเข้าไปถึงพระราชฐานขณะล่องเรือผ่านนั้น ปรากฏมีชื่อเครื่องดนตรีระบุไว้ ได้แก่ ขลุ่ย ปี่ ซอ จะเข้ กระจับปี่ โทน ทับ
ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ ได้บันทึกไว้ว่า “ขบวนเรือยาวที่แห่มารับตัวท่านและคณะว่ามีเสียงเห่ เสียงโห่และเสียงดนตรีประเภทกระจับปี่สีซอดังกึกก้องไพเราะไปทั่วคุ้งน้ำ...”
จะเห็นได้ว่า ในกฎมณเฑียรบาลและในจดหมายเหตุลาลูแบร์ ได้มีการกล่าวถึง “ซอ” ไว้อย่างชัดเจน แต่เสียดายที่ไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าเป็นซออะไร

1. ประวัติที่มาของซอด้วง
ซอด้วง เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสี มี 2 สาย เกิดเสียงจากการใช้คันชักสี ใช้บรรเลงในวงดนตรีไทยประเภทต่างๆ เช่น วงเครื่องสายไทย วงมโหรีและการบรรเลงเดี่ยว ทำหน้าที่เป็นผู้นำวงและดำเนินทำนองในแนวระดับเสียงสูงคู่กับซออู้ที่ดำเนินทำนองในระดับเสียงต่ำ
ลักษณะของซอด้วงนั้นมีลักษณะคล้ายซอของประเทศจีนที่มีชื่อว่า “ฮู-ฉิน” ทุกอย่าง เหตุที่เรียกว่า “ซอด้วง” ก็เพราะมีรูปร่างคล้ายเครื่องดักสัตว์ ทำด้วยกระบอกไม้ไผ่เหมือนกัน จึงได้เรียกชื่อไปตามลักษณะนั่นเอง




การฝึกหัดซอด้วงและซออู้เบื้องต้น

การฝึกหัดซอด้วงและซออู้เบื้องต้น
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาชีพเฉพาะสาขาเครื่องสายไทย
รายวิชาเครื่องสายไทย 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1


นายสมภพ เขียวมณี
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ



วิทยาลัยนาฏศิลปอ่างทอง
สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม

____________________________________________________________________________

สนใจบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเกี่ยวกับการฝึกหัดซอด้วงและซออู้เบื้องต้น
ติดต่อได้ที่ sk2511@hotmail.com


คลังบทความของบล็อก

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
25/2 ม.5 ต.ท่าหลวง อ.ท่าเรือ, จ.พระนครศรีอยุธยา, Thailand
มีความฝันอยากเป็นครูตั้งแต่เด็กๆ มีโอกาสเข้ามาเรียนดนตรีไทยตั้งแต่ ป.5 ที่โรงเรียนเทศบาลท่าเรือประชานุกูล ได้เข้าศึกษาชั้น ม. 1 ณ วิทยาลัยนาฏศิลปอ่างทอง จนสอบบรรจุได้ที่นี่ครับ ประวัติการศึกษา ปริญญาตรี (บริหารการศึกษา) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กำลังศึกษาระดับมหาบัณฑิต สาขาดุริยางคศิลป์ไทย คณะศิลปนาฏดุริยางค์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม